วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

            เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

           เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

1. ซานตาครอส

เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

               นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา
              ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

2. ถุงเท้า
จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง





3. ต้นคริสต์มาส

           นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก


            โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

             ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

4. ต้นฮอลลี่
ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์


5. ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

6. ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

7. เพลงวันคริสต์มาส
                เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

                 เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night
                 ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

8. คำอวยพรวันคริสต์มาส
ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป


9.  สีประจำวันคริสต์มาส

สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย

สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี









สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง










สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส






สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

10. การทำมิสซาเที่ยงคืน
                     การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส

 11. เทียนและพวงมาลัย

                พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

12. ระฆังวันคริสต์มาส
เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข




13. ดาว

ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม





14. เครื่องประดับและแอปเปิ้ล

ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ




15. ของขวัญวันคริสมาส
การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ



          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์





วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปรากฏการณ์แม่คะนิ้ง

แม่คะนิ้ง


               แม่คะนิ้ง เป็นคำจากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาษาพื้นเมืองทางภาคเหนือเรียกว่า เหมยขาบ คือผลึกน้ำแข็งที่เกิดขึ้นเนื่องจาก ไอน้ำในอากาศใกล้ผิวดินลดอุณหภูมิลงถึงอุณหภูมิจุดน้ำค้าง แล้วกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ ต่อจากนั้นอุณหภูมิยังคงลดต่อไปอีก จนต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ทำให้น้ำค้างแข็งตัว กลายเป็นน้ำค้างแข็ง ซึ่งจะทำความเสียหายแก่พืชไร่และผักต่าง ๆ เช่น ข้าวที่กำลังออกรวงก็จะมีเมล็ดลีบ พืชไร่จะชะงักการเจริญเติบโต พืชผักใบจะหงิกงอ ไหม้เกรียม กล้วย มะพร้าวและทุเรียนใบจะแห้งร่วง ถ้าเกิดติดต่อกันหลายวัน ก็จะทำความเสียหายแก่พืชที่ปลูกได้มากขึ้น น้ำค้างแข็ง ในเมืองไทยสามารถพบเห็นได้ตามบริเวณยอดดอยในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอากาศหนาวจัด ส่วนมากจะเกิดในช่วงปลายเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เชิญเที่ยวงานมหกรรมพืชสวนโลก

มหกรรมพืชสวนโลก 54
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาเกษตรพื้นที่สูง กำหนดจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 ระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม 2554 - 14 มีนาคม 2554 รวมระยะเวลา 99 วัน                                                  ณ สวนเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549    ตำบลแม่เหียะ    อำเภอเมือง    จังหวัดเชียงใหม่             เพื่อเป็นการเผยแพร่พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ทั้งโครงการพระราชดำริ และโครงการส่วนพระองค์ มีการจัดแสดงสวนนานาชาติให้สอดคล้องทั้งภายในและภายนอกอาคาร นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าทางการเกษตร วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือทางการเกษตร ระบบน้ำ ฯลฯ การประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การแสดง แสง สี เสียง ขบวนพาเหรด และการแสดงดนตรีในสวน ฯลฯ

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

red   river  floodway
The Red River Floodway is an artificial flood control waterway in Western Canada, first used in 1969. It is a 47 km (29 mi) long channel which, during flood periods, takes part of the Red River's flow around the city of Winnipeg, Manitoba to the east and discharges it back into the Red River below the dam at Lockport. It can carry floodwater at a rate of up to 2,550 cubic metres (91,700 cubic feet) per second. It was built partly in response to the disastrous 1950 Red River flood.




The Floodway was pejoratively nicknamed "Duff's Ditch" by opponents of its construction, after Premier Duff Roblin, whose Progressive Conservative government initiated the project. It was completed in time and under budget. Subsequent events have vindicated the plan. Used over 20 times in the 37 years from its completion to 2006, the Floodway has saved an estimated $10 billion (CAD) in flood damages.

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ระยะเวลาในการย่อยสลายของขยะมูลฝอย

วัสดุ                       ระยะเวลาในการย่อยสลายตามธรรมชาติ


ผ้าฝ้าย                   1-5 เดือน

เศษกระดาษ           2-5 เดือน

เชือก                      3-14 เดือน

เปลือกส้ม               6 ปี

ผ้าขนสัตว์               1 ปี

ถ้วยกระดาษเคลือบ 5 ปี

ไม้                            13 ปี

ก้นกรองบุหรี่            15 ปี

กระป๋องอลูมิเนียม   80-100 ปี

กระป๋องเหล็ก           100 ปี

รองเท้าหนัง             25-40 ปี

ขวดพลาสติก          450 ปี

ถุงพลาสติก            450 ปี

โฟม                       ไม่ย่อยสลาย

ขวดแก้ว                ไม่ย่อยสลาย

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เวนิสวาณิช

               เรื่องเวนิสวาณิชเป็นบทพระราชนิพนธ์ที่แปลและแต่งมาจากเรื่องthe merchant of venice ของ วิลเลียม  เชกสเปียร์ผู้มีชื่อเสียงของประเทศอังกฤษ  แต่งขึ้นในค.ศ.1595-1597  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยังคงรูปให้เป็นละครโต้ตอบตามแบบฉบับของวิลเลียม  เชกสเปียร์  และผูกถ้อยคำกลอนไทยให้คล้ายกับต้นฉบับมากที่สุด
เรื่องเวนิสวาริช  โดยย่อ
               อันโตนิโยพ่อค้าแห่งเมืองเวนิสกำลังกลุ้มใจเรื่อที่เรือสินค้าเดินทางมาถึงช้ากว่าปกติ   เกรงว่าเรือสินค้าจะอัปาง  ขณะนั้นเองบัสสานิโยเพื่อนสนิทที่เดินทางมาของยืมเงินไปเมืองเบลมอนต์เพื่อพบนางเปอร์เชียคนรัก  ผู้มั่งคั่งจากการรับมรดกมากมายเนื่องจากบิดาเธอเสียชีวิตซึ่งก่อนตายบิดาเธอได้มีเงื่อนไขว่า  "นางเปอร์เชียต้องทำพิธีเสี่ยงทายด้วยหีบ3ใบเพื่อเลือกคู่   ชายใดเลือกหีบที่มีรูปนางเปอร์เชียก็จะได้แต่งงานกับนาง  แต่ถ้าเลือกผิดชายคนนั้นก็ต้องห้ามแต่งงานลอดชีวิต"  บัสสานิโยซึ่งชอบอยู่กับนางเปอร์เชียจึงคิดจะไปร่วมงานครั้งนี้ด้วย  อันโตนิโยซึ่งมีเงินไม่มาก  จึงไปขอยืมเงินไชล็อก  พ่อค้าเงินกู้หน้าเลือดชาวยิว  ผู้เป็นศัตรูของอันโตนิโย  จำนวน3,000เหรียญ  แต่มีเงื่อนไขว่า "หากอันโตนิโยหาเงินมาคืนภายใน3เดือนไม่ได้  ข้าก็จะขอเนื้อ1ปอนด์จากร่่างกายอันโตนิโย"
             ลอเร็นโซเพื่อนบัสสานิโยชอบพออยู่กับเจ็สสิก้าลูกสาวของไชล็อกและได้พากันหนีไป  สร้างความโกรธแค้นแก่ไชล็อกอย่างมาก     
             ต่อมาเมื่องบัสสานิโยเดินทางไปถึงเมืองเบลมอนต์ก็ได้เข้าทำพิธีเลือกคู่   เจ้าชายมอร็อคโคเลือกหีบทองภายในมีกะโหลกผี  เจ้าอาร์ระคอนเลือกหีบทองภายในมีตัวจำอวดอยู่(ตัวตลก) บัสสานิโยเลือกหีบตะกั่วซึ่งภายในมีรูปนางเปอร์เชียอยู่   นางเปอร์เชียจึงดีใจมากและมอบแหวนให้แก่บัสสานิโย  
             ต่อมาลอเร็นโซและสะเลริโยถือจดหมายมาจากเมืองเวนิสว่าเรือสินค้าของอันโตนิโยอับปาง  บัสสานิโยจึงนำเรื่องไปบอกแก่นางเปอร์เชีย นางจึงมอบเงินแก่บัสสานิโย20เท่าเพื่อนำไปใช้หนี้ไชล็อก   แต่ไชล็อกไม่ต้องการ  เพราะในในคิดว่านี้เป็นโอกาสดีที่จะได้แก้แค้นอันโตนิโยที่เคยด่าว่าและทำร้ายตน  พ่อเมืองเวนิสช่วยเกลี้ยกล่อมแต่ไม่เป็นผล   นางเปอร์เชียจึงให้ลอเร็นโซถือจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากอาจารย์เบ็ลลานิโยญาติขอนางซึ่งเป็นทนายความมาช่วยอันโตนิโย   แต่อาจารย์ไม่อยู่   นางเปอร์เชียจึงตัดสินใจปลอมตัวเป็นบัลถะสาร์ททนายความมาช่วยว่าความให้    นางกล่าวว่าา
"ไชล็อกสามารถตัดเนื้อไปจากร่างกายอันโตนิโยได้  แต่ห้ามนำเลือดจากตัวอันโตนิโยไปแม้แต่หยดเดียว  เพราะนั่นไม่มีในสัญญา    และถ้าทำเช่นนั้นจะถูกริบทรัพย์  และถ้าตัดเนื้อน้อยหรือมากว่า1ปอนด์ที่ตกลงไว้  ก็จะถูกประหารชีวิตและถูกริบทรัพย์"   ในที่สุดไชล็อกก็ถูกริบทรัพย์ไปกึ่งหนึ่ง  และให้ไชล็อกทำพินัยกรรมว่าเมื่อถึงแก่กรรมแล้วต้องยกสมบัติทั้งหมดให้แก่ลอเร็นโซผู้เป็นลูกเขย  พร้อมทั้งให้ไชล็อก
เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ด้วย  ไชล็อกจึงยอมทำตามและขอลากลับบ้าน  เพราะรู้ว่าอย่างไรตนก็ต้องแพ้ความ
       ในภายหลังเรือสินค้าของอันโตนิโยก็กลับมา  และมีอับปางบ้าง ก่อนบัลถะสาร์(นางเปอร์เชีย)จะกลับก็ได้ลองใจลอเร็นโซ โดยการของแหวน บัสานิโยก็ทำท่าจะไม่ให้ แต่ในที่สุดก็ยอมถอดแหวนให้
       เมื่อถึงเมืองเบลมอนต์  นางเปอร์ชียก็ได้ถามถึงแหวน   บัสสานิโยก็เล่าความจริงให้ฟังว่าบัลถะสาร์ซึ่งมีบุญคุณต่อเขา เพราะบัลถะสาร์ช่วยเพื่อนรักของเขาไว้  และบัลถะสาร์ก็ได้ของแหวนเป็นการตอบแทนเขาจึงต้องยอมมอบแหวนให้   ดังนั้นนางเปอร์เชียจึงไม่โกรธบัสสานิโย

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทุ่งร้างลี้ลับที่เปรู
                ทางภาคใต้ของประเทศเปรู   มีทุ่งร้างที่มีพื้นที่ 1,000 ตารางกิโลเมตร   ซึ่งถ้ายืนดูก็จะเห็นเป็นทุ่งร้างธรรมดา     แต่ถ้ามองลงมาจากที่สูง   เราก็จะเห็นทุ่งร้างที่เต็มไปด้วยภาพเรขาคณิตและภาพสัตว์ต่างๆ   ที่มีขนาดใหญ่โตจนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
              นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่านี้อาจจะเป็นสมบัติล้ำค่าของชาวอินเดียแดงโบราณที่เคยอาศัยอยู่บริเวณนี้ทำไว้ก็ได้   แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำอธิบายว่าเขาใช้เทคนิคใดมาวาดภาพพวกนี้